ดอกเบี้ย MLR, MRR และ MOR ต่างกันอย่างไร
ดอกเบี้ย MLR, MRR และ MOR ต่างกันอย่างไร
สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้านเราอาจจะงงกับคำย่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น MLR หรือ MRR
ดอกเบี้ยเงินกู้
โดยปกติ ดอกเบี้ยเงินกู้จะมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ คือ อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ซึ่งก็คือ อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้เป็นตัวเลขเฉพาะ คงที่ตลอดอายุสัญญาหรือในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น กำหนดให้ชำระดอกเบี้ย 5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 4 ปี เป็นต้น และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating rate) ซึ่งก็คือ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (Reference Rate) ที่เปลี่ยนแปลงไปตามต้นทุนของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งในช่วงเวลาต่างๆ โดยแต่ละธนาคารก็จะประกาศอัตราใหม่กันเป็นครั้งคราว ซึ่งอัตราพวกนี้เราสามารถเข้าไปดูได้จากเว็บไซต์ หรือสาขาของแต่ละธนาคาร ตัวอย่างที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ MLR, MOR, MRR ซึ่งแบงก์ชาติได้ให้ความหมายไว้เป็นแนวทางคร่าวๆ ดังนี้
- MLR (Minimum Loan Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Term Loan) เช่น มีประวัติการเงินที่ดี มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างเพียงพอ โดยส่วนใหญ่ใช้กับเงินกู้ระยะยาวที่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เช่น สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นต้น
- MOR (Minimum Overdraft Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี
- MRR (Minimum Retail Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นต้น
วิธีคิดดอกเบี้ยเงินกู้
ทีนี้พอเราเริ่มเห็นภาพอัตราดอกเบี้ยแต่ละแบบแล้ว เราลองมาทำความรู้จักกับวิธีการคิดดอกเบี้ยสินเชื่อเพิ่มเติมกันดีกว่าค่ะ ว่าการคิดดอกเบี้ยแต่ละวิธี เอาไปใช้สำหรับเงินกู้ประเภทไหนบ้าง และใช้อย่างไร โดยทั่วไปการคิดดอกเบี้ยเงินกู้จะมีด้วยกัน 2 วิธี ดังนี้
1. การคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) ส่วนมากจะใช้กับการเช่าซื้อรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์โดยเริ่มคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งจำนวน และระยะเวลาการผ่อนชำระทั้งหมด จากนั้นผู้ให้สินเชื่อจะนำดอกเบี้ยที่คำนวณได้มารวมกับเงินต้น แล้วหารด้วยจำนวนงวดที่จะผ่อนชำระ ซึ่งเงินที่ผ่อนชำระจะเท่ากันทุกงวด เช่นเดียวกับจำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยก็จะคงที่ทุกๆ งวดด้วย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่จะมีข้อดี คือ คิดง่าย เข้าใจง่าย แต่ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าการคิดแบบลดต้นลดดอกข้างล่างเมื่อเทียบอัตราดอกเบี้ย เงินต้น และระยะเวลาที่เท่ากัน เพราะจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเป็นดอกเบี้ยจะไม่ลดลงแม้เราจะเหลือเงินต้นน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็ตาม
การแปลงอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ เป็นแบบลดต้นลดดอกทำได้คร่าวๆ โดยใช้ 1.8 คูณกับอัตราดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ เช่น 2% ต่อปี จะคิดเป็นแบบลดต้นลดดอกได้เท่ากับ 3.6% (1.8 x 2) ต่อปี โดยประมาณ
2. การคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) เป็นการคำนวณดอกเบี้ยในสินเชื่อเกือบทุกประเภทนอกเหนือจากพวกที่ยกตัวอย่างใน Flat Rate ข้างบน การคิดดอกเบี้ยวิธีนี้ จะคิดทีละงวดจากฐานเงินต้นที่ทยอยลดลงตามการชำระหนี้ ซึ่งถ้าเราชำระหนี้ในแต่ละงวดเท่าๆกัน ในอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม จะพบว่า เงินที่จ่ายไปในงวดแรกๆ ส่วนใหญ่จะถูกจ่ายเป็นค่าดอกเบี้ย เนื่องจากจำนวนเงินต้นยังสูงอยู่นั่นเอง แต่เมื่อผ่อนไปสักระยะ ดอกเบี้ยจะค่อยๆ ลดลงตามจำนวนเงินต้นที่ค่อยๆ ลดลง